ข่าวโรงพยาบาลทิ้งศพพ่ออืดเน่า – เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพศพพ่อของตนบนเตียงโรงพยาบาล โดยระบุว่า โรงพยาบาลไม่ดูแลศพพ่อ ไม่มีการฉีดฟอร์มาลีน และแช่ห้องเย็น ปล่อยให้ศพขึ้นอืดแมลงวันตอมหึ่ง ซึ่งสภาพดังกล่าวเกิดจากกฎที่ห้ามนำศพออกหลังหกโมงเย็น ทำให้ลูกชายพาศพพ่อออกมาได้ตอนเช้าของอีกวัน ศพของพ่อก็มีสภาพอืดเน่าเสียแล้ว
ต่อมา นายแพทย์พัฒนา เบ้าสาทร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา
เปิดเผยว่า โรงพยาบาลไม่มีกฎห้ามญาตินำศพออกจากโรงพยาบาลหลังจากเวลา 18.00 น. เพราะโรงพยาบาลไม่ได้มีห้องเย็นเก็บศพ เหตุที่เกิดขึ้นอาจเป็นการที่เจ้าหน้าที่นอกเวลาราชการเข้าใจไม่ชัดเจนในระเบียบ ถือเป็นปัญหาในระบบการให้บริการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอง โรงพยาบาลจะต้องทบทวนและแก้ไขระเบียบความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ใหม่
ทั้งนี้ผู้เป็นลูกชายได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ที่โพสต์รูปดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาจะเรียกร้องอะไรจากทางโรงพยาบาล ไม่อยากได้ค่าชดเชยแค่ต้องการคำตอบในเรื่องนี้ว่าทำไมถึงปล่อยให้พ่ออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น แค่อยากเรียกร้องให้สร้างมาตรฐานโรงพยาบาลรัฐให้มีคุณภาพในการรองรับดูแลผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในทุกกรณี
ไฟไหม้ตู้คอนเทนเนอร์ท่าเรือแหลมฉบังทำพิษ สารเคมีทำป่วยพุ่ง 200 ราย ข่าวไฟไหม้สารเคมีท่าเรือแหลมฉบัง ชลบุรี – จากกรณี เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2562 เวลาประมาณ 11 นาฬิกา เกิดเหตุเพลิงไหม้ตู้คอนเทนเนอร์ท่าเรือแหลมฉบัง บริเวณท่าเทียบเรือ เอ 2 เขตท่าเรือแหลมฉบัง ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จาก เรือบรรทุกสินค้า KMTC HONGKONG ผลจากเพลิงไหม้ทำให้เกิดกลุ่มควันจำนวนมาก และเมื่อตรวจค่าคุณภาพอากาศในเบื้องต้น พบว่ามีค่าสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Total VOCs) อยู่ในช่วง1.2-2.4 ppm ค่าสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) อยู่ในช่วง 0.92-1.96 ppm เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ผิวหนังและเยื่อบุ
ผลจากสารพิษที่ฟุ้งในอากาศอย่างเฉียบพลันส่งผลให้ประชาชนบริเวณใกล้เคียงได้รับบาดเจ็บกว่า 228 ราย อาการเบื้องต้นคือ แสบผิวหนังร่างกาย แสบตาและใบหน้า รวมถึงระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลแหลมฉบัง โรงพยาบาลวิภาราม แหลมฉบัง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา และโรงพยาบาลบางละมุง ส่วนใหญ่อาการทุเลาจนกลับบ้านได้แล้ว
วิเคราะห์ กฎหมายแก้ใหม่ “กระทำชำเรา-ข่มขืน” โทษสุดหนักถึงประหารชีวิต
วันที่ 27 พ.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำชำเรา
การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายกระทำชำเราครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญคือ
1. มาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “กระทำชำเรา” หมายความว่า กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้ อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น
นั่นหมายความว่า การใช้ “อวัยวะหรือวัตถุอย่างอื่นกระทำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของอีกฝ่าย ให้ถือเป็น “การอนาจาร” (ซึ่งมีโทษเทียบเท่าการข่มขืนกระทำชำเราแทน ตามมาตรา 278 วรรคสอง และมาตรา 279 วรรคสี่แก้ไขใหม่)
2.เพิ่มมาตรา 280/1 หากการข่มขืนกระทำชำเรามีการบันทึกภาพหรือเสียงไว้ และถ้าหากส่งต่อภาพหรือเสียงนั้น ก็จะต้องบทเพิ่มโทษถึงกึ่งหนึ่ง
3. แก้มาตรา 276 เป็น ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่า ตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าผู้กระทำมีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท แต่ถ้ามีการโทรมหญิงร่วมด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
4. ถ้าการข่มขืนกระทำชำเรา เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่หากถึงแก่ความตาย ระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
5. บทบัญญัติการข่มขืนกระทำชำเรา “ศพ” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. มาตรา 277 ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าผู้ถูกกระทำชำเราเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต